ประวัติและที่มา
ชาวไทขึนชุมชนวัดทรายมูล หรือชุมชนบ้านทรายมูล ส่วนใหญ่อพยพมาจากเมืองเชียงตุงและบางส่วนมาจากเมืองเชียงรุ้ง โดยเข้ามาในหลายช่วงเวลาหลายสมัย แต่เข้ามาในยุค “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” (พ.ศ. 2325-2358) มากที่สุด เนื่องจากพระเจ้ากาวิละ (พ.ศ. 2285-2358) ได้มีนโยบายการรวบรวมประชาชนโดยการกวาดต้อนผู้คนจากหัวเมืองต่าง ๆ เข้ามาไว้ในเมืองเชียงใหม่เพื่อฟื้นฟูเมือง เป็นการกวาดต้อนในลักษณะที่เอามาทั้งเมืองเพื่อป้องกันไม่ให้พม่าใช้เป็นกำลังพลในการโจมตีล้านนา โดยชาวไทขึนกลุ่มนี้อพยพเข้ามาเหมือนกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ เช่นเดียวกับชาวไทลื้อจากสิบสองปันนา ชาวไทลื้อจากเมืองยอง หรือไทใหญ่จากรัฐฉานและพื้นที่บริเวณทางตะวันตกของแม่น้ำสาละวิน
การอพยพของชาวไทขึนชุมชนวัดทรายมูลส่วนใหญ่ที่ถูกกวาดต้อนมา จะเดินทางผ่านหลายท้องที่ ตามเส้นทางการเดินเท้า ทางเดินของวัวต่างม้าต่าง หรือทางเกวียน โดยกลุ่มไทขึนส่วนหนึ่งจากเมืองเชียงรุ้งเดินทางมาสมทบกับกลุ่มไทขึนกลุ่มใหญ่ของเมืองเชียงตุง แล้วเดินทางผ่านเมืองสาด เข้าภาคเหนือของไทยที่อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ผ่านอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ และมาตั้งรกรากบริเวณบ้านทรายมูล เขตตำบลสันกลาง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งชาวไทขึนชุมชนวัดทรายมูลเป็นกลุ่มที่ถูกกวาดต้อนมาพร้อมกับชาวไทขึนบ้านสันก้างปลา บ้านมอญ (บ้านหม่อน) บ้านสันกลางเหนือ บ้านหัวทุ่ง บ้านม่วงม้า บ้านสันข้าวแคบกลาง อำเภอสันกำแพง และบ้านออนกลาง บ้านออนหลวย อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงชาวไทขึนอีกหลายกลุ่มในสมัยนั้น เช่น ชุมชนนันทาราม ชุมชนวัวลาย ชุมชนศรีปันครัว ชุมชนวัดป่าป้อง ชุมชนต้นแหนน้อยต้นแหนหลวง ซึ่งมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น วัฒนธรรมการพูด การแต่งกาย อาหาร การสร้างบ้านเรือน งานหัตถกรรม การทอผ้า การจักสาน ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ การประกอบอาชีพ เป็นต้น
การอพยพเข้ามาในพื้นที่ของชาวไทขึนชุมชนวัดทรายมูลนี้ คล้ายกับกลุ่มไทขึนอื่น ๆ ที่ปัจจุบันตั้งบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เช่น ชุมชนวัดสีมาราม (บ้านมอญ) อำเภอสันกำแพง ชุมชนวัดป่าป้อง (ชยาลังการ์) อำเภอดอยสะเก็ด ซึ่งอพยพต่อเนื่องเข้ามาอีกหลายระลอกและหลายเส้นทาง แต่มีจำนวนไม่มากเหมือนในยุคเก็บผักใสซ้า เก็บข้าใส่เมือง โดยเฉพาะช่วงหลังจากการฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2339 ภายหลังเมืองเชียงใหม่ได้รับการบูรณะและมีความเจริญมากขึ้น มีผู้คนมาอยู่อาศัยมากขึ้น ภัยจากสงครามสงบลง ชีวิตมีความปลอดภัย ซึ่งอาจมีการติดต่อค้าขาย การส่งข่าวคราวให้เครือญาติที่เชียงตุงหรือเมืองเชียงรุ้งได้ทราบ และชักชวนให้อพยพย้ายถิ่นฐานออกเดินทางมาอยู่ร่วมกัน อย่างไรก็ตามการอพยพน่าจะมีจำนวนลดลงภายหลังสงครามเชียงตุง (พ.ศ. 2392-2397) สิ้นสุด ทั้งนี้อาจด้วยข้อกำหนดหรือปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายประการ ทั้งเรื่องนโยบายด้านการเมืองการปกครอง กฎหมาย ความลำบากในการเดินทาง ฯลฯ เป็นต้น

ภาพ สภาพพื้นที่ชุมชนไทขึนวัดทรายมูลปัจจุบัน
การก่อร่างสร้างตัวเป็นชุมชนในช่วงแรกนั้น ชาวไทขึนกลุ่มนี้ได้อพยพเข้ามาตั้งรกรากอยู่อาศัยในพื้นที่ค่อนข้างราบลุ่ม มีบางส่วนเป็นลักษณะเป็นที่ดอน และเป็นเนินทรายของลำน้ำแม่ออน เดิมทีช่วงเริ่มแรกบริเวณนี้เรียกว่า บ้านสันก้างปลา เพราะเป็นหมู่บ้านซึ่งมีป่าต้นก้างปลาเป็นจำนวนมาก ต่อมาภายหลังได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่โดยท่วมอยู่นาน เมื่อน้ำลดลงพบว่า มีทรายซึ่งไหลมาตามน้ำกองอยู่เต็มไปทั่วหมู่บ้าน จึงมีการเรียกชื่อหมู่บ้านเปลี่ยนไปเป็น บ้านทรายมูล วัดที่เคยเรียกว่า วัดสันก้างปลา ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน ก็เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น วัดทรายมูล เช่นกัน
อย่างไรก็ตามในระยะต่อมาเมื่อชุมชนไทขึนวัดทรายมูลมีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น และภาครัฐมีการดำเนินงานแบ่งเขตการปกครองเป็นหมู่บ้าน ทำให้ชุมชุนไทขึนวัดทรายมูลแบ่งพื้นที่เป็นหมู่ต่าง ๆ ได้แก่ หมู่ 5 หมู่ 6 และหมู่ 7 จากนั้นมีการก่อสร้างวัดใหม่ขึ้นมาในพื้นที่ของหมู่ 6 โดยชาวบ้านส่วนใหญ่ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับวัด และตั้งชื่อวัดใหม่ว่า “วัดสันก้างปลา” เพื่อเป็นการระลึกถึงชื่อวัดเดิมที่เคยศรัทธา และได้แยกตัวออกมาก่อตั้งเป็นชุมชนไทขึนวัดสันก้างปลา ดังนั้น ชุมชนไทขึนวัดทรายมูลจึงเหลือเพียงชาวบ้านเฉพาะในหมู่ที่ 5 และหมู่ที่ 7

ภาพ เส้นทางการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานจากเชียงรุ้งและเชียงตุงสู่ชุมชนวัดทรายมูล
